สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจหลายต่อหลายคน
เมื่อต้องการที่จะทำธุระกรรมทางอินเตอร์เน็ทอย่างใดอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ
ความไม่มั่นใจว่า
ถ้าหากใช้บัตรเครดิตทำธุระกรรมบนอินเตอร์เน็ทนั้น
จะมีโอกาสถูกขโมยหมายเลข
บัตรเครดิตไปใช้หรือไม่?
และนั่นจะทำให้มีผลเสียตามมาอย่างไร?
ผมมองเห็นว่าความไม่มั่นใจในการใช้บัตรเครดิตนั้น
เป็นปัญหา และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วงการ
e-Commerce ของประเทศไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร
เพราะว่าทำให้หลายๆคนไม่กล้าที่จะออกมาทำ
เว็บไซต์ขายสินค้าของตนเองมากนัก
เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครซื้อ
เนื่องจากเล็งเห็นว่า
คนส่วนใหญ่
ของประเทศไทยนั้นยังไม่ค่อยมีความมั่นใจในการซื้อขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ทมากนัก
แล้วบัตรเครดิตกับ
e-Commerce นั้นมีความสำคัญแค่ไหน?
คำตอบคือ สำคัญมากครับ
เพราะว่า เวลาเราเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆในเว็บไซต์นั้น
เราไม่ได้ไปเจอกับร้านค้าจริงๆ
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อจะซื้อสินค้า
ก็คือ ใส่หมายเลขบัตรเครดิตลงไป
จากนั้นทางเว็บไซต์ก็จะไปทำการคิดเงินค่าสินค้าหรือบริการจากหมายเลขบัตรเครดิตที่ได้ไป
นอกจากนั้น การใช้บัตรเครดิตสั่งซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทยังมีข้อดีอีกคือ
- สะดวก และรวดเร็ว
ง่ายกว่าการที่จะต้องรอการโอนเงินผ่านธนาคารแบบธรรมดา
- มีหลักฐานการสั่งซื้อชัดเจน
ทำให้มีผลบังคับทางกฎหมายได้ง่าย
- ถ้าไม่พอใจสินค้าก็สามารถเรียกร้องขอเงินกลับคืนได้ง่าย
โดยให้จ่ายคืนเข้าบัตรเครดิตได้เลย
หรือ ขอให้ทำการยกเลิก
invoice ที่สั่งซื้อสินค้า
- ผู้ซื้อสินค้าไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมในการโอนเงินผ่านธนาคาร
- ผู้ซื้อสินค้าไม่ต้องจ่ายเงินสดออกไปก่อน
ทำให้มีเวลาในการจ่ายชำระหนี้นานขึ้น
แต่แม้ว่า หลายๆคนจะรู้ว่าการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทผ่านบัตรเครดิต
จะเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประโยชน์ในหลายๆทาง
ทุกคนก็ยังคงมีความไม่มั่นใจในการใช้
ซึ่งอาจจะมีเหตุผลหลักๆคือ
กลัวถูกขโมยหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้นั่นเอง
ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้หลายๆคนกลัว
ก็อาจจะเป็นเพราะว่า
เคยอ่านข่าว หรือบทความจากหลายๆแห่ง
ที่ได้เขียนเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
และทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกันครับ
ว่าการขโมยแค่ตัวเลขไปใช้นั้น
น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
ซึ่งผมก็ยอมรับครับ
ว่าเหตุการณ์อย่างนั้นมีเกิดขึ้นกันบ่อยๆ
ในต่างประเทศมีศัพท์เรียกกันว่า
Identity Theft หมายถึง การขโมยข้อมูลส่วนตัวไปใช้
นั่นเอง
แต่ความหมายของคำๆนี้นั้น
กว้างกว่า และร้ายแรงกว่าการนำข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้จริงๆเยอะครับ
ตามรายงานของบริษัทบัตรเครดิตหลายๆแห่งนั้น
ได้พบว่า จริงๆแล้ว การขโมยหมายเลขบัตรเครดิต
ไปใช้กันนั้น
มีการขโมยมาจากเว็บไซต์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ท
คิดเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก
เมื่อเทียบกับวิธีการขโมยแบบอื่นๆ
ดังนั้นถ้าจะให้ดี เราควรที่จะหันไปไปป้องกันการขโมยหมายเลข
บัตรเครดิตด้วยวิธีอื่นๆ
จะดีกว่าครับ
ทั้งนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
มีวิธีการขโมยหมายเลขบัตรเครดิตนี้หลากหลายวิธีมาก
วิธีที่ง่ายที่สุดเลย
คือ การเดินไปตามบ้านต่างๆ
แล้วไปขโมยจดหมายจากบริษัทบัตรเครดิตที่อยู่ในตู้จดหมายมาเลย
เท่านี้เหล่ามิจฉาชีพก็จะได้ข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวของเราอย่างครบถ้วน
ซึ่งก็สามารถนำ
ไปใช้ซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ท
หรือไปทำบัตรปลอมขึ้นมาอีกใบหนึ่งเพื่อไปใช้ซื้อของตามร้านค้าต่างๆ
ได้ทันที
หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ
การไปค้นตามถังขยะ เพื่อหาสำเนาใบเสร็จบัตรเครดิต
โดยคนส่วนมาก เมื่อซื้อสินค้า
ด้วยบัตรเครดิตเสร็จ
จะไม่สนใจเก็บสำเนาไว้
ก็จะโยนทิ้งทันทีครับ
โดยหารู้ไม่ว่าในสำเนานั้น
มีหมายเลข
บัตรเครดิต
และวันที่หมดอายุไว้อย่างชัดเจนครับ
ซึ่งถ้าใครได้ไปก็สามารถนำไปใช้ได้ทันทีเลยเหมือนกัน
ดังนั้นแนะนำว่า ถ้าหากจะทิ้งใบสำเนาก็ควรจะฉีกทั้งซะก่อนครับ
โดยเฉพาะตรงหมายเลขบัตรเครดิต
(ในขณะนี้ทางต่างประเทศเช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา
บังคับให้ร้านค้าต้องใช้เครื่องรูดบัตรแบบใหม่
กันหมดแล้วครับ
โดยสำเนาที่ได้จากเครื่องรุ่นใหม่นี้
จะแสดงหมายเลขบัตรแค่
4 ตัวหลังเท่านั้น
เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค
ผมก็หวังว่าคงจะเริ่มบังคับใช้ในประเทศไทยเร็วๆนี้ครับ)
อีกวิธีเป็นวิธีการที่พวกมิจฉาชีพใช้กันแพร่หลายมากที่สุดนั้นก็คือ
การ Skimming นั่นเอง โดยเหล่า
มิจฉาชีพพวกนี้
จะไปว่าจ้างพนักงานในร้านค้าต่างๆ
เพื่อให้นำบัตรเครดิตที่ลูกค้าใช้ซื้อของมารูดผ่าน
เครื่อง
Skimming ซึ่งจะทำให้ข้อมูลทุกอย่างในแถบแม่เหล็ก
ถูกบันทึกลงไปในเครื่อง
Skimming
นี้อย่างง่ายดายในเวลาเสี้ยววินาทีครับ
ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีทั้งหมายเลขบัตรเครดิต,
วันหมดอายุ
และ ที่อยู่ของเรา
เป็นต้น ดังนั้น ถ้าหากท่านต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อของในร้านค้าต่างๆ
เพื่อความมั่นใจ
ก็กรุณาเข้าไปดูเวลาที่พนักงานรูดบัตรเครดิตกับเครื่องด้วยตนเอง
ว่าไม่มีการนำบัตรเครดิตของท่าน
ไปรูดในเครื่องอื่นๆนอกเหนือจากเครื่องรูดบัตรเครดิตแถมด้วย
ย้อนกลับมาเรื่องการขโมยใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทกันต่อครับ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงระบบการใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทมาตั้งแต่ในยุคแรกๆ
ที่เริ่มมีการใช้กัน
ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลที่ว่า
ขณะนี้ผมไม่เคยกลัวการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้ากับเว็บไซต์
ต่างๆเลย
เพราะว่าถ้าหาก เราเข้าใจหลักการอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้วว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับบัตรเครดิตเรา
ได้บ้าง
และมีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง
ความกลัวก็จะหมดไปนั่นเองครับ
ในยุคเริ่มต้นของ
e-Commerce นั้น มีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้กันมาก
ตามที่เคยได้ยินกันมา
เพราะว่านั่นเป็นยุคแรกจริงๆ
ซึ่งก็ไม่มีใครได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ทำให้ไม่มี
การเตรียมการป้องกันมาก่อน
สาเหตุที่ทำให้มีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ได้ในยุคแรกเริ่มนั้นคือ
ระบบการรักษาความปลอดภัย
ต่างๆ ยังมีความหละหลวมเป็นอันมาก
ไม่มีใครใส่ใจเท่าไหร่
โดยทุกเว็บไซต์จะทำการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลของ
ทางเว็บไซต์
โดยที่ไม่มีการเข้ารหัสใดๆทั้งสิ้น
ทำให้ถ้าหากมีใครเจาะระบบของทางเว็บไซต์เข้าไปได้
ก็จะได้ฐานข้อมูลทั้งหมดออกไปอย่างง่ายดาย
ผมเองยังเคยได้เห็นกับตาครับ
เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว
ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับนักเจาะระบบ
ที่เก่งมากคนหนึ่งของไทย
ซึ่งเค้าก็ใช้เวลาไม่ถึง
1 ชั่วโมง ในการเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลของเว็บไซต์
หลายๆแห่ง
(ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ไทยครับ
ของต่างประเทศก็ด้วย)
แล้วก็สามารถนำข้อมูลหมายเลข
บัตรเครดิตและอื่นๆของลูกค้าจากเว็บไซต์นั้นๆมาได้อย่างง่ายดาย
ที่น่าตกใจกว่าก็คือว่า
นักเจาะระบบ
ท่านนั้น
ในเวลานั้น อายุเพียงแค่
18 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิดว่า
คงต้องมีใครอีกหลายๆคน
ที่ทำได้อย่างนี้เหมือนกัน
นั่นทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจการใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทเลยครับ
สาเหตุถัดมาก็คือ
ระบบการตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้บัตรเครดิตยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
โดยในการสั่งซื้อ
สินค้า
ผู้ซื้อก็แค่ใส่หมายเลขบัตรเครดิตลงไปในเว็บไซต์
จากนั้นทางเว็บไซต์ก็จะมีโปรแกรมที่ตรวจสอบ
เบื้องต้นดูว่าหมายเลขนั้นน่าจะใช้ได้หรือไม่
จากนั้นเจ้าหน้าที่ของทางเว็บไซต์ก็จะนำหมายเลขบัตรเครดิต
และวันหมดอายุไปกดลงเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกที
โดยที่แทบจะไม่มีการเช็คความถูกต้องของข้อมูลอื่นๆ
เช่น ชื่อ หรือ ที่อยู่
ของเจ้าของบัตร ว่าตรงกับข้อมูลในบัตรหรือไม่
นั่นทำให้ใครก็ได้ที่มีหมายเลขบัตรเครดิตของคุณอยู่
(ไม่จำเป็นต้องมีบัตรจริงๆ)
สามารถนำหมายเลข
เหล่านั้น
ไปใช้ซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทได้อย่างง่ายดาย
และหนีไปได้อย่างลอยนวล
เพราะว่าไม่สามารถ
ตามจับได้
อีกทั้ง จำนวนเงินที่จะใช้ในการตามจับ
อาจจะเป็นจำนวนที่มากกว่าราคาสินค้าที่ซื้อไปมาก
ทำให้ไม่ค่อยมีการตามจับกันเท่าที่ควร
ระบบการตรวจสอบบัตรเครดิตในสมัยก่อนไม่มีประสิทธิภาพถึงขนาดที่ว่า
สามารถใช้โปรแกรมสำหรับ
สร้างหมายเลขบัตรเครดิตเพื่อให้โปรแกรมตรวจเช็คของทางเว็บไซต์
คิดว่าเป็นบัตรที่ใช้ได้จริงๆครับ
ซึ่งหลายๆโปรแกรมจะทำการสร้างหมายเลข
12 ตัวแรกขึ้นมา จากนั้นเวลาเรานำไปใช้ก็แค่ใส่หมายเลข
4 ตัวหลังมั่วๆ ก็ใช้ได้แล้วครับ
น่ากลัวจริงๆ (สำหรับเจ้าของเว็บไซต์นะครับ
เพราะว่าเสียหายแน่นอน
ถ้าโดนเลขปลอมนี้เข้าไป
จะไปเก็บเงินใครก็ไม่ได้)
นั่นเป็นเพราะว่า
หมายเลข 12 ตัวแรกนั้นจะเป็นรหัสต่างๆ
ที่บริษัทบัตรเครดิตต้องใช้เพื่อระบุข้อมูล
ของบริษัทและของบัตร
เช่น ชนิดของบัตรที่ใช้,
ประเทศที่เปิดบัตร เป็นต้น
ส่วน 4 ตัวหลังก็จะเป็น
หมายเลขส่วนตัวของผู้ใช้บริการครับ
ถ้าดูง่ายๆ หมายเลขตัวแรกของบัตรจะเป็นตัวบอกชนิดของบัตรที่ใช้นั่นเอง
เช่น
ถ้าเป็นบัตร Visa หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น
4
ถ้าเป็นบัตร MasterCard หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น
5
ถ้าเป็นบัตร American Express หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น
3
ช่วงนั้น หลายต่อหลายคน
สามารถท่องได้เลยครับว่า
12 ตัวแรกของบัตรนั้น
แต่ละตัวให้ความหมาย
ถึงอะไรบ้าง
ซึ่งถ้าหากใครรู้ตรงจุดนี้
ก็สามารถคาดเดาข้อมูลหลายๆอย่างของผู้ถือบัตรได้อย่างง่ายดาย
เห็นหรือยังครับ
ว่าทำไมเราถึงได้ยินเรื่องการขโมยบัตรเครดิตไปใช้กันอย่างมากมาย
นั่นก็เพราะระบบ
ที่ยังไม่พัฒนาเท่าไหร่
ทำให้เรามีความเสี่ยงสูงในการใช้นั่นเอง
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
ในสมัยนี้นั้น ระบบต่างๆเกี่ยวกับธุระกรรมทางอินเตอร์เน็ทได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
โดยระบบรักษา
ความปลอดภัยจากการใช้บัตรเครดิตก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ
มั่นใจในการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ทได้เต็มที่
โดยในปัจจุบันนั้น
เมื่อเราสั่งซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ท
ทางเว็บไซต์จะต้องตรวจดูว่า
หมายเลขบัตรเครดิต
และข้อมูลส่วนตัวที่ให้มานั้นตรงกันแค่ไหน
( ส่วนมากจะเช็คจากรหัสไปรษณีย์ที่ระบุไว้)
โดยทาง
เว็บไซต์จะส่งข้อมูลไปเพื่อตรวจสอบกับข้อมูลของทางธนาคารทันที
ถ้าหากไม่ตรงก็จะไม่ดำเนินการ
ต่อให้
พร้อมกับจะแจ้งว่าบัตรมีปัญหา
ให้ลองเปลี่ยนบัตรอื่นๆมาใช้ดูอีกครั้ง
เมื่อสามารถทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกับทางธนาคารได้
ทำให้เว็บไซต์ส่วนมาก
ก็จะไม่
ทำการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้กับทางเว็บไซต์อีกต่อไป
โดยเมื่อไหร่ที่มีคนสั่งซื้อก็ค่อยทำการส่งข้อมูล
นั้นไปเช็คกับทางธนาคารใหม่
และทำการตัดเงินในขณะนั้น
เท่านั้นนั่นเอง
หรือถ้าหากบางเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้
ก็จะทำการเข้ารหัสข้อมูลเหล่านั้น
ทำให้
ถ้าหากมีคนมาเจาะระบบและขโมยข้อมูลเหล่านั้นไป
ก็ไม่สามารถอ่านและนำไปใช้ได้
ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทำให้
เราสามารถมั่นใจได้มากขึ้น
ว่าข้อมูลบัตรเครดิต
และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆของเราจะไม่ถูกใครนำไปใช้ได้
ง่ายๆอย่างแน่นอน
ถัดมาระบบความปลอดภัยที่ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้มากขึ้นก็คือ
การนำหมายเลข CVV2 มาใช้
โดยหมายเลข
CVV2 นี้ จะไม่มีการบันทึกลงบนแถบแม่เหล็กหลังบัตร
หรือที่ไหนทั้งสิ้น
ยกเว้นฐานข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร
และที่ด้านหลังบัตรเครดิตเท่านั้น
สามารถดูรูปได้ด้านล่าง

ดังนั้น แม้ว่าคนอื่นจะรู้หมายเลขบัตรเครดิต
16 ตัว และข้อมูลอื่นๆของเรา
ก็ไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านั้น
ไปซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทได้
ถ้าหากไม่รู้เลข CVV2 นี้
ทำให้การใส่ CVV2 นี้ เป็นการยืนยันว่า
ผู้ใช้จะต้องมีบัตรอยู่กับตัวจริงๆถึงจะใส่หมายเลขนี้ได้ครับ
ทำให้ปัจจุบันการใช้หมายเลขบัตรเครดิตของผู้อื่นไปซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
แล้วครับ
แต่ก็ยังมีมิจฉาชีพบางคนทำการแอบอ้างตนเองว่าเป็นพนักงานบริษัทบัตรเครดิต
โทรมาถาม
หมายเลข CVV2 นี้
เหมือนกัน อ้างว่าเพื่อทำการตรวจสอบบัตร
ซึ่งถ้าเราให้ไปก็อาจจะตกเป็นเหยื่อได้ครับ
ดังนั้น จำไว้นะครับ
ถ้ามีคนไม่รู้จักโทรมาถามถึงหมายเลขนี้
ก็ห้ามบอกเด็ดขาดครับ
( ทางบริษัทไม่มีความ
จำเป็นต้องถามครับ
เพราะว่ามีหมายเลขนี้อยู่แล้ว)
ดังนั้นแล้ว ผมคิดว่าในปัจจุบันนั้น
การใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าบนเว็บไซต์นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป
เพราะว่ามีการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยไว้ดีแล้ว
โดยเฉพาะการบังคับให้ต้องใส่หมายเลข
CCV2
ลงไปด้วยทุกครั้ง
ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า
ถึงจะมีคนรู้ข้อมูลของเราไป
แต่ถ้าไม่มีบัตรตัวจริง
ก็ไม่สามารถ
นำไปซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทได้ครับ
อีกเรื่องที่หลายคนไม่รู้ครับ
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลย
นั่นก็คือว่า จริงๆแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลเลยครับ
ว่ามีคนนำหมายเลขบัตรของเราไปใช้
แล้วเราจะไม่มีเงินไปชำระหนี้ได้
เพราะว่า ตามกฎหมายแล้ว
ทางบริษัท
ผู้ออกบัตรเครดิตใบนั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจำนวนเงินเหล่านั้นครับ
เราเพียงแค่พิสูจน์ไปว่าเราไม่ได้ใช้
ใช้บัตรเครดิต
ซื้อสินค้านั้นๆ ครับ
ทั้งนี้ เมื่อได้รับรายงานการใช้บัตรเครดิต
ประจำเดือนแล้ว ให้รีบเช็คดูทันทีว่า
มีรายการใดผิดปรกติหรือเปล่า
ถ้าหากมีต้องรีบแจ้งกลับไปยังบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต
ภายในเวลาไม่เกิน 15 วัน
ครับ (อาจจะเปลี่ยนแปลงบ้าง
ในบางบริษัท)
ถ้าหลังจากนั้น ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบกับรายการที่ไม่ถูกต้องครับดังนั้นใช้บัตรเครดิตไป
เลยครับ
ไม่ต้องกังวลใจใดๆครับ
ถ้าหากเราคิดว่าจำเป็นต้องใช้
ก็ใช้ครับ แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
เราทุกคนก็ควรที่จะทำการตรวจเช็คยอดรายจ่ายประจำเดือนอยู่เสมอว่ามีอะไรผิดปรกติบ้างหรือไม่?
ถ้าหากมีข้อสงสัยใดๆ
ก็ควรจะรีบโทรไปถามทางบริษัทผู้ออกบัตรทันทีครับ
หวังว่า บทความนี้คงทำให้หลายๆคน
คลายความกังวลใจ ไม่กล้าใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ท
เพราะห่วงเรื่อง
ความปลอดภัยได้นะครับ
และผมก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยให้คนไทย
หันมาใช้บัตรเครดิตจับจ่ายสินค้า
และบริการผ่านอินเตอร์เน็ทกันมากขึ้น
เพื่อให้ธุรกิจ e-Commerce ของไทยพัฒนาก้าวไกลเท่าต่างชาติครับ
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์