Credit Card Security Over the Internet
HOME
Get Hosting
KEYWORD TOOL
VEDIO
PPC Program

สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจหลายต่อหลายคน เมื่อต้องการที่จะทำธุระกรรมทางอินเตอร์เน็ทอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ
ความไม่มั่นใจว่า ถ้าหากใช้บัตรเครดิตทำธุระกรรมบนอินเตอร์เน็ทนั้น จะมีโอกาสถูกขโมยหมายเลข
บัตรเครดิตไปใช้หรือไม่? และนั่นจะทำให้มีผลเสียตามมาอย่างไร?

ผมมองเห็นว่าความไม่มั่นใจในการใช้บัตรเครดิตนั้น เป็นปัญหา และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วงการ
e-Commerce ของประเทศไทยยังไม่เติบโตเท่าที่ควร เพราะว่าทำให้หลายๆคนไม่กล้าที่จะออกมาทำ
เว็บไซต์ขายสินค้าของตนเองมากนัก เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครซื้อ เนื่องจากเล็งเห็นว่า คนส่วนใหญ่
ของประเทศไทยนั้นยังไม่ค่อยมีความมั่นใจในการซื้อขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ทมากนัก

แล้วบัตรเครดิตกับ e-Commerce นั้นมีความสำคัญแค่ไหน?

คำตอบคือ สำคัญมากครับ เพราะว่า เวลาเราเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆในเว็บไซต์นั้น
เราไม่ได้ไปเจอกับร้านค้าจริงๆ สิ่งที่เราต้องทำเมื่อจะซื้อสินค้า ก็คือ ใส่หมายเลขบัตรเครดิตลงไป
จากนั้นทางเว็บไซต์ก็จะไปทำการคิดเงินค่าสินค้าหรือบริการจากหมายเลขบัตรเครดิตที่ได้ไป

นอกจากนั้น การใช้บัตรเครดิตสั่งซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทยังมีข้อดีอีกคือ

  • สะดวก และรวดเร็ว ง่ายกว่าการที่จะต้องรอการโอนเงินผ่านธนาคารแบบธรรมดา
  • มีหลักฐานการสั่งซื้อชัดเจน ทำให้มีผลบังคับทางกฎหมายได้ง่าย
  • ถ้าไม่พอใจสินค้าก็สามารถเรียกร้องขอเงินกลับคืนได้ง่าย โดยให้จ่ายคืนเข้าบัตรเครดิตได้เลย
    หรือ ขอให้ทำการยกเลิก invoice ที่สั่งซื้อสินค้า
  • ผู้ซื้อสินค้าไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมในการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ผู้ซื้อสินค้าไม่ต้องจ่ายเงินสดออกไปก่อน ทำให้มีเวลาในการจ่ายชำระหนี้นานขึ้น

แต่แม้ว่า หลายๆคนจะรู้ว่าการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทผ่านบัตรเครดิต
จะเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประโยชน์ในหลายๆทาง ทุกคนก็ยังคงมีความไม่มั่นใจในการใช้
ซึ่งอาจจะมีเหตุผลหลักๆคือ กลัวถูกขโมยหมายเลขบัตรเครดิตไปใช้นั่นเอง

ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้หลายๆคนกลัว ก็อาจจะเป็นเพราะว่า เคยอ่านข่าว หรือบทความจากหลายๆแห่ง
ที่ได้เขียนเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ และทุกคนก็คงรู้สึกเหมือนกันครับ ว่าการขโมยแค่ตัวเลขไปใช้นั้น
น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ซึ่งผมก็ยอมรับครับ ว่าเหตุการณ์อย่างนั้นมีเกิดขึ้นกันบ่อยๆ
ในต่างประเทศมีศัพท์เรียกกันว่า Identity Theft หมายถึง การขโมยข้อมูลส่วนตัวไปใช้ นั่นเอง
แต่ความหมายของคำๆนี้นั้น กว้างกว่า และร้ายแรงกว่าการนำข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้จริงๆเยอะครับ

ตามรายงานของบริษัทบัตรเครดิตหลายๆแห่งนั้น ได้พบว่า จริงๆแล้ว การขโมยหมายเลขบัตรเครดิต
ไปใช้กันนั้น มีการขโมยมาจากเว็บไซต์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ท คิดเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก
เมื่อเทียบกับวิธีการขโมยแบบอื่นๆ ดังนั้นถ้าจะให้ดี เราควรที่จะหันไปไปป้องกันการขโมยหมายเลข
บัตรเครดิตด้วยวิธีอื่นๆ จะดีกว่าครับ

ทั้งนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีวิธีการขโมยหมายเลขบัตรเครดิตนี้หลากหลายวิธีมาก วิธีที่ง่ายที่สุดเลย
คือ การเดินไปตามบ้านต่างๆ แล้วไปขโมยจดหมายจากบริษัทบัตรเครดิตที่อยู่ในตู้จดหมายมาเลย
เท่านี้เหล่ามิจฉาชีพก็จะได้ข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวของเราอย่างครบถ้วน ซึ่งก็สามารถนำ
ไปใช้ซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ท หรือไปทำบัตรปลอมขึ้นมาอีกใบหนึ่งเพื่อไปใช้ซื้อของตามร้านค้าต่างๆ
ได้ทันที

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ การไปค้นตามถังขยะ เพื่อหาสำเนาใบเสร็จบัตรเครดิต โดยคนส่วนมาก เมื่อซื้อสินค้า
ด้วยบัตรเครดิตเสร็จ จะไม่สนใจเก็บสำเนาไว้ ก็จะโยนทิ้งทันทีครับ โดยหารู้ไม่ว่าในสำเนานั้น มีหมายเลข
บัตรเครดิต และวันที่หมดอายุไว้อย่างชัดเจนครับ ซึ่งถ้าใครได้ไปก็สามารถนำไปใช้ได้ทันทีเลยเหมือนกัน
ดังนั้นแนะนำว่า ถ้าหากจะทิ้งใบสำเนาก็ควรจะฉีกทั้งซะก่อนครับ โดยเฉพาะตรงหมายเลขบัตรเครดิต
(ในขณะนี้ทางต่างประเทศเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา บังคับให้ร้านค้าต้องใช้เครื่องรูดบัตรแบบใหม่
กันหมดแล้วครับ โดยสำเนาที่ได้จากเครื่องรุ่นใหม่นี้ จะแสดงหมายเลขบัตรแค่ 4 ตัวหลังเท่านั้น
เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ผมก็หวังว่าคงจะเริ่มบังคับใช้ในประเทศไทยเร็วๆนี้ครับ)

อีกวิธีเป็นวิธีการที่พวกมิจฉาชีพใช้กันแพร่หลายมากที่สุดนั้นก็คือ การ Skimming นั่นเอง โดยเหล่า
มิจฉาชีพพวกนี้ จะไปว่าจ้างพนักงานในร้านค้าต่างๆ เพื่อให้นำบัตรเครดิตที่ลูกค้าใช้ซื้อของมารูดผ่าน
เครื่อง Skimming ซึ่งจะทำให้ข้อมูลทุกอย่างในแถบแม่เหล็ก ถูกบันทึกลงไปในเครื่อง Skimming
นี้อย่างง่ายดายในเวลาเสี้ยววินาทีครับ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็จะมีทั้งหมายเลขบัตรเครดิต, วันหมดอายุ
และ ที่อยู่ของเรา เป็นต้น ดังนั้น ถ้าหากท่านต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อของในร้านค้าต่างๆ เพื่อความมั่นใจ
ก็กรุณาเข้าไปดูเวลาที่พนักงานรูดบัตรเครดิตกับเครื่องด้วยตนเอง ว่าไม่มีการนำบัตรเครดิตของท่าน
ไปรูดในเครื่องอื่นๆนอกเหนือจากเครื่องรูดบัตรเครดิตแถมด้วย

ย้อนกลับมาเรื่องการขโมยใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทกันต่อครับ

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงระบบการใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทมาตั้งแต่ในยุคแรกๆ
ที่เริ่มมีการใช้กัน ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลที่ว่า ขณะนี้ผมไม่เคยกลัวการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้ากับเว็บไซต์
ต่างๆเลย เพราะว่าถ้าหาก เราเข้าใจหลักการอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับบัตรเครดิตเรา
ได้บ้าง และมีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง ความกลัวก็จะหมดไปนั่นเองครับ

ในยุคเริ่มต้นของ e-Commerce นั้น มีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้กันมาก ตามที่เคยได้ยินกันมา
เพราะว่านั่นเป็นยุคแรกจริงๆ ซึ่งก็ไม่มีใครได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำให้ไม่มี
การเตรียมการป้องกันมาก่อน

สาเหตุที่ทำให้มีการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ได้ในยุคแรกเริ่มนั้นคือ ระบบการรักษาความปลอดภัย
ต่างๆ ยังมีความหละหลวมเป็นอันมาก ไม่มีใครใส่ใจเท่าไหร่

โดยทุกเว็บไซต์จะทำการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลของ
ทางเว็บไซต์ โดยที่ไม่มีการเข้ารหัสใดๆทั้งสิ้น ทำให้ถ้าหากมีใครเจาะระบบของทางเว็บไซต์เข้าไปได้
ก็จะได้ฐานข้อมูลทั้งหมดออกไปอย่างง่ายดาย

ผมเองยังเคยได้เห็นกับตาครับ เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับนักเจาะระบบ
ที่เก่งมากคนหนึ่งของไทย ซึ่งเค้าก็ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ในการเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลของเว็บไซต์
หลายๆแห่ง (ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ไทยครับ ของต่างประเทศก็ด้วย) แล้วก็สามารถนำข้อมูลหมายเลข
บัตรเครดิตและอื่นๆของลูกค้าจากเว็บไซต์นั้นๆมาได้อย่างง่ายดาย ที่น่าตกใจกว่าก็คือว่า นักเจาะระบบ
ท่านนั้น ในเวลานั้น อายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิดว่า คงต้องมีใครอีกหลายๆคน
ที่ทำได้อย่างนี้เหมือนกัน นั่นทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจการใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ทเลยครับ

สาเหตุถัดมาก็คือ ระบบการตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้บัตรเครดิตยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร โดยในการสั่งซื้อ
สินค้า ผู้ซื้อก็แค่ใส่หมายเลขบัตรเครดิตลงไปในเว็บไซต์ จากนั้นทางเว็บไซต์ก็จะมีโปรแกรมที่ตรวจสอบ
เบื้องต้นดูว่าหมายเลขนั้นน่าจะใช้ได้หรือไม่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ของทางเว็บไซต์ก็จะนำหมายเลขบัตรเครดิต
และวันหมดอายุไปกดลงเครื่องรูดบัตรเครดิตอีกที โดยที่แทบจะไม่มีการเช็คความถูกต้องของข้อมูลอื่นๆ
เช่น ชื่อ หรือ ที่อยู่ ของเจ้าของบัตร ว่าตรงกับข้อมูลในบัตรหรือไม่

นั่นทำให้ใครก็ได้ที่มีหมายเลขบัตรเครดิตของคุณอยู่ (ไม่จำเป็นต้องมีบัตรจริงๆ) สามารถนำหมายเลข
เหล่านั้น ไปใช้ซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทได้อย่างง่ายดาย และหนีไปได้อย่างลอยนวล เพราะว่าไม่สามารถ
ตามจับได้ อีกทั้ง จำนวนเงินที่จะใช้ในการตามจับ อาจจะเป็นจำนวนที่มากกว่าราคาสินค้าที่ซื้อไปมาก
ทำให้ไม่ค่อยมีการตามจับกันเท่าที่ควร

ระบบการตรวจสอบบัตรเครดิตในสมัยก่อนไม่มีประสิทธิภาพถึงขนาดที่ว่า สามารถใช้โปรแกรมสำหรับ
สร้างหมายเลขบัตรเครดิตเพื่อให้โปรแกรมตรวจเช็คของทางเว็บไซต์ คิดว่าเป็นบัตรที่ใช้ได้จริงๆครับ
ซึ่งหลายๆโปรแกรมจะทำการสร้างหมายเลข 12 ตัวแรกขึ้นมา จากนั้นเวลาเรานำไปใช้ก็แค่ใส่หมายเลข
4 ตัวหลังมั่วๆ ก็ใช้ได้แล้วครับ น่ากลัวจริงๆ (สำหรับเจ้าของเว็บไซต์นะครับ เพราะว่าเสียหายแน่นอน
ถ้าโดนเลขปลอมนี้เข้าไป จะไปเก็บเงินใครก็ไม่ได้)

นั่นเป็นเพราะว่า หมายเลข 12 ตัวแรกนั้นจะเป็นรหัสต่างๆ ที่บริษัทบัตรเครดิตต้องใช้เพื่อระบุข้อมูล
ของบริษัทและของบัตร เช่น ชนิดของบัตรที่ใช้, ประเทศที่เปิดบัตร เป็นต้น ส่วน 4 ตัวหลังก็จะเป็น
หมายเลขส่วนตัวของผู้ใช้บริการครับ

ถ้าดูง่ายๆ หมายเลขตัวแรกของบัตรจะเป็นตัวบอกชนิดของบัตรที่ใช้นั่นเอง เช่น

ถ้าเป็นบัตร Visa หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น 4

ถ้าเป็นบัตร MasterCard หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น 5

ถ้าเป็นบัตร American Express หมายเลขบัตรตัวแรกจะเป็น 3

ช่วงนั้น หลายต่อหลายคน สามารถท่องได้เลยครับว่า 12 ตัวแรกของบัตรนั้น แต่ละตัวให้ความหมาย
ถึงอะไรบ้าง ซึ่งถ้าหากใครรู้ตรงจุดนี้ ก็สามารถคาดเดาข้อมูลหลายๆอย่างของผู้ถือบัตรได้อย่างง่ายดาย

เห็นหรือยังครับ ว่าทำไมเราถึงได้ยินเรื่องการขโมยบัตรเครดิตไปใช้กันอย่างมากมาย นั่นก็เพราะระบบ
ที่ยังไม่พัฒนาเท่าไหร่ ทำให้เรามีความเสี่ยงสูงในการใช้นั่นเอง แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมา

ในสมัยนี้นั้น ระบบต่างๆเกี่ยวกับธุระกรรมทางอินเตอร์เน็ทได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก โดยระบบรักษา
ความปลอดภัยจากการใช้บัตรเครดิตก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถ
มั่นใจในการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ทได้เต็มที่

โดยในปัจจุบันนั้น เมื่อเราสั่งซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ท ทางเว็บไซต์จะต้องตรวจดูว่า หมายเลขบัตรเครดิต
และข้อมูลส่วนตัวที่ให้มานั้นตรงกันแค่ไหน ( ส่วนมากจะเช็คจากรหัสไปรษณีย์ที่ระบุไว้) โดยทาง
เว็บไซต์จะส่งข้อมูลไปเพื่อตรวจสอบกับข้อมูลของทางธนาคารทันที ถ้าหากไม่ตรงก็จะไม่ดำเนินการ
ต่อให้ พร้อมกับจะแจ้งว่าบัตรมีปัญหา ให้ลองเปลี่ยนบัตรอื่นๆมาใช้ดูอีกครั้ง

เมื่อสามารถทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกับทางธนาคารได้ ทำให้เว็บไซต์ส่วนมาก ก็จะไม่
ทำการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้กับทางเว็บไซต์อีกต่อไป โดยเมื่อไหร่ที่มีคนสั่งซื้อก็ค่อยทำการส่งข้อมูล
นั้นไปเช็คกับทางธนาคารใหม่ และทำการตัดเงินในขณะนั้น เท่านั้นนั่นเอง

หรือถ้าหากบางเว็บไซต์ที่มีการเก็บข้อมูลบัตรเครดิตไว้ ก็จะทำการเข้ารหัสข้อมูลเหล่านั้น ทำให้
ถ้าหากมีคนมาเจาะระบบและขโมยข้อมูลเหล่านั้นไป ก็ไม่สามารถอ่านและนำไปใช้ได้ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทำให้
เราสามารถมั่นใจได้มากขึ้น ว่าข้อมูลบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆของเราจะไม่ถูกใครนำไปใช้ได้
ง่ายๆอย่างแน่นอน

ถัดมาระบบความปลอดภัยที่ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้มากขึ้นก็คือ การนำหมายเลข CVV2 มาใช้ โดยหมายเลข
CVV2 นี้ จะไม่มีการบันทึกลงบนแถบแม่เหล็กหลังบัตร หรือที่ไหนทั้งสิ้น ยกเว้นฐานข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร
และที่ด้านหลังบัตรเครดิตเท่านั้น สามารถดูรูปได้ด้านล่าง

ดังนั้น แม้ว่าคนอื่นจะรู้หมายเลขบัตรเครดิต 16 ตัว และข้อมูลอื่นๆของเรา ก็ไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านั้น
ไปซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทได้ ถ้าหากไม่รู้เลข CVV2 นี้ ทำให้การใส่ CVV2 นี้ เป็นการยืนยันว่า
ผู้ใช้จะต้องมีบัตรอยู่กับตัวจริงๆถึงจะใส่หมายเลขนี้ได้ครับ

ทำให้ปัจจุบันการใช้หมายเลขบัตรเครดิตของผู้อื่นไปซื้อสินค้าบนอินเตอร์เน็ทเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
แล้วครับ แต่ก็ยังมีมิจฉาชีพบางคนทำการแอบอ้างตนเองว่าเป็นพนักงานบริษัทบัตรเครดิต โทรมาถาม
หมายเลข CVV2 นี้ เหมือนกัน อ้างว่าเพื่อทำการตรวจสอบบัตร ซึ่งถ้าเราให้ไปก็อาจจะตกเป็นเหยื่อได้ครับ
ดังนั้น จำไว้นะครับ ถ้ามีคนไม่รู้จักโทรมาถามถึงหมายเลขนี้ ก็ห้ามบอกเด็ดขาดครับ ( ทางบริษัทไม่มีความ
จำเป็นต้องถามครับ เพราะว่ามีหมายเลขนี้อยู่แล้ว)

ดังนั้นแล้ว ผมคิดว่าในปัจจุบันนั้น การใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าบนเว็บไซต์นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป
เพราะว่ามีการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยไว้ดีแล้ว โดยเฉพาะการบังคับให้ต้องใส่หมายเลข CCV2
ลงไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า ถึงจะมีคนรู้ข้อมูลของเราไป แต่ถ้าไม่มีบัตรตัวจริง ก็ไม่สามารถ
นำไปซื้อสินค้าหรือบริการบนอินเตอร์เน็ทได้ครับ

อีกเรื่องที่หลายคนไม่รู้ครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลย นั่นก็คือว่า จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลเลยครับ
ว่ามีคนนำหมายเลขบัตรของเราไปใช้ แล้วเราจะไม่มีเงินไปชำระหนี้ได้ เพราะว่า ตามกฎหมายแล้ว ทางบริษัท
ผู้ออกบัตรเครดิตใบนั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจำนวนเงินเหล่านั้นครับ เราเพียงแค่พิสูจน์ไปว่าเราไม่ได้ใช้
ใช้บัตรเครดิต ซื้อสินค้านั้นๆ ครับ

ทั้งนี้ เมื่อได้รับรายงานการใช้บัตรเครดิต ประจำเดือนแล้ว ให้รีบเช็คดูทันทีว่า มีรายการใดผิดปรกติหรือเปล่า
ถ้าหากมีต้องรีบแจ้งกลับไปยังบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต ภายในเวลาไม่เกิน 15 วัน ครับ (อาจจะเปลี่ยนแปลงบ้าง
ในบางบริษัท) ถ้าหลังจากนั้น ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบกับรายการที่ไม่ถูกต้องครับดังนั้นใช้บัตรเครดิตไป
เลยครับ ไม่ต้องกังวลใจใดๆครับ ถ้าหากเราคิดว่าจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้ครับ แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
เราทุกคนก็ควรที่จะทำการตรวจเช็คยอดรายจ่ายประจำเดือนอยู่เสมอว่ามีอะไรผิดปรกติบ้างหรือไม่?
ถ้าหากมีข้อสงสัยใดๆ ก็ควรจะรีบโทรไปถามทางบริษัทผู้ออกบัตรทันทีครับ

หวังว่า บทความนี้คงทำให้หลายๆคน คลายความกังวลใจ ไม่กล้าใช้บัตรเครดิตบนอินเตอร์เน็ท เพราะห่วงเรื่อง
ความปลอดภัยได้นะครับ และผมก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยให้คนไทย หันมาใช้บัตรเครดิตจับจ่ายสินค้า
และบริการผ่านอินเตอร์เน็ทกันมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจ e-Commerce ของไทยพัฒนาก้าวไกลเท่าต่างชาติครับ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์